สำนักงานกฎหมาย

นพนภัส

ทนายความเชียงใหม่

ด่าว่าเป็นเมียน้อย เป็นความผิดฐานใด

การด่าว่า เป็นเมียน้อย นั้น เป็นความพูดที่มีความผิดฐานใด ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มีข้อกฎหมายเกี่ยวกับการด่าว่าบุคคลอีกไว้ หลายมาตรา ยกตัวอย่างเช่น ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖ ความผิดฐานหมิ่นประมาท หรือประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๓ ความผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้า เป็นต้น

 

การด่าว่า บุคคลอื่น หากว่ามีบุคคลที่สามอยู่ด้วย และมีบุคคลที่ถูกด่าอยู่ด้วยในขณะนั้น ย่อมเป็นความผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้า และเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท พร้อมๆ กันนั้นเอง ทั้งนี้ ต้องพิจารณาต่อไปว่า คำว่านั้นๆ เป็นความผิดหรือไม่ หากว่า คำด่าดังกล่าวเป็นการทำให้บุคคลอื่นนั้น เสียชื่อเสียง ดูถูกหมิ่น ดูเกลียดชัง คำด่านั้นย่อมเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทและหรือความผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้าได

 

ยกตัวอย่าง ดคีตัวอย่าง

จำเลยกับผู้เสียหายเคยมีความขัดแย้งกันในเรื่องหนี้เงินกู้มาก่อน ประกอบกับพฤติการณ์ของผู้เสียหายเมื่อไปถึงหน้ารั้วบ้านของจำเลยได้เรียกจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ให้ออกมาพูด นอกรั้วบ้าน อันถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติ จำเลย ทำให้จำเลยโกรธผู้เสียหาย และร้องด่าผู้เสียหายว่า "มึงเป็นเมียน้อยสารวัตรส.อย่ามาทำใหญ่ให้กู้เห็นนะ"ต่อหน้า พ.ซึ่งมากับผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการทำให้ผู้เสียหายเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังจาก พ. อันเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 97/2541

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญาอาญามาตรา 326, 368, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 จำคุก 1 เดือน และปรับ 3,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา

 

 

 

 

 

 

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีนางนุสราผู้เสียหาย และนางสาวพิมลพรรณเพื่อนของผู้เสียหายมาเบิกความเป็นประจักษ์พยานว่า ในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้องเมื่อผู้เสียหายกับเพื่อนไปถึงบ้านจำเลย ผู้เสียหายเรียกให้จำเลยออกมานอกรั้วบ้านเพื่อพูดคุยเรื่องผู้เสียหายเอาเงินมาให้ จำเลยออกจากตัวบ้านแต่ไม่ยอมออกมานอกรั้วบ้านและยืนอยู่ห่างจากผู้เสียหายประมาณ 2 เมตรแล้วจำเลยร้องตวาด ด่าผู้เสียหายว่า "มึงไม่ต้องมาเสือกมึงไม่ต้องมาใหญ่ มึงเป็นเป็นเมียน้อยสารวัตรศิริชัยมึงไม่ต้องมาใหญ่" ผู้เสียหายให้จำเลยถอนคำพูด เพราะผู้เสียหายไม่ได้เป็นเมียน้อย จำเลยพูดอีกว่า ถ้ามึงแน่จริง มึงเก่งจริงให้ไปฟ้องเอา จากนั้นผู้เสียหายกับนางสาวพิมลพรรณขึ้นรถยนต์กลับ เห็นว่า ประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองปากดังกล่าวเบิกความได้สอดคล้องต้องกันในสาระสำคัญของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะนางสาวพิมลพรรณ นั้นไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนจึงน่าเชื่อว่าได้เบิกความไปตามความจริงที่เกิดขึ้น ส่วนจำเลยคงมีแต่จำเลยเพียงปากเดียวมาเบิกความลอย ๆ ว่าผู้เสียหายไม่ได้มาที่บ้านจำเลย จำเลยจึงไม่ได้ด่าผู้เสียหาย แต่ถูกผู้เสียหายกลั่นแกล้งจึงไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่าในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้องผู้เสียหายได้ไปที่บ้านของจำเลยเพื่อเจรจาเรื่องเงินที่กู้ยืมกัน คดีมีปัญหาที่จะต้องพิจารณาต่อไปว่าจำเลยได้พูดหมิ่นประมาทผู้เสียหายหรือไม่ เห็นว่า ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายเคยยืมเงินจากจำเลยปรากฏตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย ล. และจำเลยเบิกความด้วยตนเองเป็นพยานสอดคล้องกับหลักฐานการกู้ยืมดังกล่าวว่าผู้เสียหายเคยกู้ยืมเงินจำเลย จำเลยเคยทวงถามดอกเบี้ยเงินกู้จากผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายไม่ยอมชำระ จำเลยจึงทวงต้นเงินคืนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายไม่พอใจ และพูดท้าทายจำเลยว่าขนาดดอกเบี้ยยังเรียกเก็บไม่ได้แน่ใจหรือจะได้รับเงินต้นคืน จากข้อนำสืบของจำเลยดังกล่าวเมื่อฟังประกอบกับข้อที่ผู้เสียหายเบิกความว่า ในวันเวลาเกิดเหตุได้มาที่บ้านของจำเลยเพื่อพูดคุยเรื่องเอาเงินมาให้แล้วน่าเชื่อว่าจำเลยกับผู้เสียหายเคยมีความขัดแย้งกันในเรื่องหนี้เงินกู้มาก่อน ดังนั้นเมื่อได้นำข้อเท็จจริงที่ว่า จำเลยกับผู้เสียหายเคยมีความขัดแย้งกันในเรื่องหนี้เงินกู้มาก่อน ประกอบกับพฤติการณ์ของผู้เสียหายที่เบิกความว่า เมื่อไปถึงหน้ารั้วบ้านจำเลยได้เรียกให้จำเลยออกมาพูดนอกรั้วบ้าน อันถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติจำเลย ทำให้จำเลยโกรธผู้เสียหาย และร้องด่าผู้เสียหายว่า "มึงเป็นเมียน้อยสารวัตรสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานีก็แค่นั้นเองอย่ามาทำใหญ่ให้กูเห็นนะ" ต่อหน้านางสาวพิมลพรรณซึ่งมากับผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการทำให้ผู้เสียหายเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังจากนางสาวพิมลพรรณอันเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น"

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

บทความที่น่าสนใจ

-การด่าตำรวจจราจรว่ารับสินบนจะมีผิดความหรือไม่

-ด่ากันทางโทรศัพท์

-ส่งมอบโฉนดให้เจ้าหนี้ยึดถือไว้เป็นหลักประกันต่อมาไปแจ้งความว่าโฉนดหายมีความผิดต้องโทษจำคุก

-การปลอมเป็นเอกสารจำเป็นต้องมีเอกสารที่แท้จริงหรือไม

-การลงลายมือแทนกันเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร

-เมื่อครอบครองปรปักษ์ที่ดินแล้ว ต่อมาเกิดที่งอกใครเป็นเจ้าของที่งอกนั้น

-ซื้อที่ดินในหมู่บ้านจัดสรร แล้วไปซื้อที่ดินข้างนอกที่ติดกับหมู่บ้าน
เพื่อเชื่อมที่ดินดังกล่าวเข้ากับที่ดินในหมู่บ้าน

-ขายฝากที่ดินต่อมาผู้ขายได้ปลูกสร้างบ้านบนที่ดิน แต่ไม่ได้ไถ่ภายในกำหนดบ้านเป็นของใคร

-ไม่ได้เข้าร่วมในการแบ่งกรรมสิทธิ์รวม

-ปลูกต้นไม้ในทางสาธารณะสามารถฟ้องให้รื้อถอนออกไปได้

-การทำสัญญายอมในศาลโดยการครอบครองในป่าสงวน

-เจ้าของรวมนำโฉนดที่ดินไปประหนี้เงินกู้ผลเป็นอย่างไร

-การต่อเติมภายหลังปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำ

-คนต่างด้าวก็สามารถครอบครองปรปักษ์ได้

-ผู้รับการให้ด่าว่าผู้ให้ ผู้ให้สามารถเพิกถอนการให้ได้

-ยกที่ดินให้แล้ว แต่มีสิทธิเก็บกินโดยไม่ได้จดทะเบียนผลเป็นอย่างไร

-ด่าว่า จัญไร ถอนการให้ได้

-ฟ้องเรียกค่าขาดกำไร เป็นค่าเสียหายพฤติการณ์พิเศษ

-หนังสือทวงถามส่งไปที่บ้านตามภูมิลำเนาอ้างว่าไม่ได้รับได้หรือไม่

-การยินยอมของเด็กที่ให้ล่วงละเมิดทางเพศ ยังคงเป็นความผิดฐานละเมิด

-ดูหมิ่นเรียกค่าเสียหายได้เท่าไหร่

-ตั้งใจไปกู้แต่เจ้าหนี้ให้ทำสัญญาขายฝากผลเป็นอย่างไร

-คำมั่นจะให้เช่าเป็นการแสดงเจตนาฝ่ายเดียว

-การโอนสิทธิการเช่าทำได้หรือไม่